โรคไต เป็นอีกหนึ่งโรคที่พบได้ในอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย คิดเป็น 15% ของประชากรไทย และอยู่ในอันดับที่ 3 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โรคนี้ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นจากโรคประจำตัวเดิมของผู้ป่วย เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ถูกจัดให้เป็นกลุ่มโรคที่ไม่แสดงอาการ (ภัยเงียบ) โดยส่วนใหญ่จะเจอจากการไปตรวจสุขภาพ บางคนอาจพบในช่วงต้นของโรค แต่บางคนอาจพบในระยะไตวายที่ไตไม่สามารถทำงานได้
โรคไตสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
โรคไตวายเฉียบพลัน
-
เกิดจากภาวะขาดสารน้ำในร่างกาย เช่น การดื่มน้ำไม่เพียงพอ ร่างกายอยู่ในภาวะขาดเกลือแร่และสารน้ำ ส่งผลให้ไตทำงานหนักขึ้น จนค่าไตวายเพิ่มขึ้น
-
เกิดจากไตมีความผิดปกติที่มาจากโรค เช่น โรคไตอักเสบ โดยผู้ป่วยมักมีอาการปัสสาวะน้อยลง บวม และมีความดันโลหิตสูง
-
เกิดภาวะการกดเบียดไต โดยจะมีก้อนหรือภาวะผิดปกติอื่น ๆ ไปกดเบียดจนไม่สามารถปัสสาวะได้อย่างปกติ ทำให้การทำงานของไตลดลงเฉียบพลัน
โรคไตวายเฉียบพลัน เป็นโรคที่หากแก้ไขสาเหตุได้ การทำงานของไตจะกลับมาเป็นปกติ ซึ่งแตกต่างจากโรคไตวายเรื้อรัง
โรคไตวายเรื้อรัง
-
เกิดจากโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง สำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวาน หากไม่ควบคุมหรือรักษาอย่างจริงจัง ภายในเวลา 10-15 ปี พบว่า 30% มีโอกาสเกิดไตวายเรื้อรังได้
-
เกิดจากพฤติกรรมการรับประทานอาหาร พบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) โดยเฉพาะโรคนิ่ว เป็นผลมาจากการรับประทานผักบางชนิด
-
เกิดจากโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคไตถุงน้ำ พบได้ตั้งแต่วัยเด็ก ผ่านการถ่ายทอดภายในเครือญาติ โรคนี้มักทำให้เกิดอาการแน่นท้อง รวมถึงไตกลายเป็นถุงน้ำทั้ง 2 ข้าง
-
เกิดจากการใช้ยาในปริมาณมากและเป็นเวลานาน เช่น ยาแก้ปวดในกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) ยาต้ม ยาหม้อ ยาลูกกลอน และยาสมุนไพร
ระยะของโรคไตวายเรื้อรัง
สามารถแบ่งได้ 5 ระยะ คือ ระยะที่ 1-2 เป็นระยะที่ยังไม่แสดงอาการ ระยะ 3-4 เป็นระยะเริ่มมีภาวะแทรกซ้อน และระยะที่ 5 จำเป็นต้องบำบัดทดแทนไต โดยระยะที่ 3-5 ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากอายุรแพทย์โรคไต
สำหรับการบำบัดทดแทนไตในคนที่อยู่ระยะที่ 5 คลินิกไตเทียมได้แบ่งทางเลือกการรักษาจากการตัดสินใจร่วมกันระหว่างผู้ป่วย คนดูแล และแพทย์เจ้าของไข้ ดังนี้
-
การฟอกเลือด
-
การล้างไตทางช่องท้อง
-
ปลูกถ่ายไต
-
ดูแลแบบประคับประคอง ซึ่งเหมาะสำหรับผู้สูงอายุ และคนที่เป็นโรคมะเร็ง
จากโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง สู่การเป็นโรคไตได้อย่างไร
การศึกษาวิจัยพบว่า หากไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ หรือทำได้แต่ไม่ค่อยดี จะเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดภาวะหลอดเลือดส่วนปลายที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ เช่น หัวใจ ไต สมอง ปลายนิ้วมือนิ้วเท้า ผิดปกติ ทำให้การทำงานเกิดปัญหา ส่งผลให้โปรตีนรั่วที่ไต เกิดปัญหาเม็ดเลือดแดงรั่วไปยังปัสสาวะ รวมถึงการทำงานของไตแย่ลงในระยะท้าย ๆ ได้ ในส่วนของความดันโลหิตสูง แรงดันเลือดที่สูงขึ้นจะไปทำลายอวัยวะ รวมถึงกระตุ้นสารเคมีบางอย่างที่ทำให้เกิดการทำลายไตร่วมด้วย
เมื่อไตมีประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
เนื่องจากร่างกายมีไต 2 ข้าง ดังนั้นการทำงานของไตจะเป็นลักษณะช่วยเหลือกัน โดยแบ่งการทำงานข้างละ 70% เท่านั้น และเก็บ 30% ของแต่ละข้างเอาไว้ทดแทนเมื่อมีปัญหา ดังนั้นเมื่อประสิทธิภาพการทำงานลดลง เราจึงไม่รู้สึกเพราะไตจะลดระดับการทำงานอย่างช้า ๆ โดยปกติแล้วไตจะลดประสิทธิภาพการทำงานลงนับตั้งแต่อายุ 30 ปี โดยจะลดลงปีละ 1% แต่สำหรับคนที่มีปัญหาจากการทำงานของไตลดลงจะเกิดภาวะและอาการดังนี้
-
เกิดภาวะบวมน้ำ โดยภาวะนี้จะเริ่มจากขา สังเกตได้จากการใช้นิ้วกดลงไปแล้วเป็นรอยบุ๋ม เมื่อบวมมากขึ้นอาจมีปัญหาการหายใจผิดปกติ เพราะอาจเกิดน้ำท่วมปอด หรือบริเวณเปลือกตาบวม
-
ปัสสาวะเป็นฟอง ซึ่งปกติก็เกิดฟองได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่กดหรือราดน้ำมากกว่า 1 ครั้งแล้วฟองไม่หาย นั่นหมายถึงมีโปรตีนรั่วออกมาปะปนกับปัสสาวะแล้ว
-
ปัสสาวะเป็นสีเลือด หรือมีเลือดสด
-
ในระยะท้าย ๆ อาจมีความผิดปกติในการสร้างฮอร์โมนบางชนิด เช่น อีริโทรโพอิติน (Erythropoietin) มีหน้าที่ในการสร้างเม็ดเลือดแดง หากขาดฮอร์โมนชนิดนี้ จะทำให้ร่างกายมีภาวะซีด
-
เปลี่ยนวิตามินดี (D) ให้ทำงานน้อยลง ทำให้เกิดปัญหากระดูกพรุนได้
ปัจจัยเสี่ยง
-
อายุที่เพิ่มมากขึ้นมีความเสี่ยงเป็นโรคไตมากขึ้น
-
โรคร่วมจากโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง
-
โรคที่เกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
-
โรคที่ไม่ได้เกิดจากไต เช่น โรคภูมิแพ้ตัวเอง (Systemic Lupus Erythematosus (SLE))
-
อาหารเสริม สมุนไพร และยาบางชนิด
คำแนะนำ
-
สำหรับคนที่ไม่มีภาวะขาดสารอาหาร ให้รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
-
ดื่มน้ำให้เพียงพอ 1.5-2 ลิตรต่อวัน ยกเว้นคนที่มีปัญหาโรคหัวใจหรือปัญหาการบีบของหัวใจ อาจต้องจำกัดปริมาณการดื่มน้ำตามคำแนะนำของแพทย์
-
หลีกเลี่ยงอาหารประเภทไขมันอิ่มตัวที่ทำมาจากสัตว์และน้ำมันปาล์ม
-
รับประทานผักและผลไม้ในปริมาณที่เหมาะสม
-
เลี่ยงอาหารที่มีโปรแทสเซียมและฟอสฟอรัสสูง เช่น กล้วยทุกชนิด ลำไย ทุเรียน แก้วมังกร คะน้า ผักใบยอด ชะเอม ชะอม ถั่ว งา ธัญพืช ของมักดอก อาหารกระป๋อง กุนเชียง ฯลฯ
-
ลดการรับประทานอาหารรสเค็ม
-
หากต้องรรับประทานอาหารนอกบ้าน ควรชิมก่อนปรุง และลดการรับประทานน้ำซุป
-
งดหรือเลิกสูบบุหรี่เด็ดขาด เพราะเป็นปัจจัยเร่งให้โรคไตดำเนินไปอย่างรวดเร็วขึ้น
ข้อมูล: นพ.ปรัชญา พุมอุทัยวิรัตน์ แพทย์เฉพาะทางอายุรกรรมโรคไต โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
เรียบเรียง: เชาว์วรรธณ์ พยัฆพันธ์
ฟังรายการได้ทาง